เทศน์บนศาลา

สมาธิเจ้าขุนทอง

๑๓ ต.ค. ๒๕๖๒

สมาธิเจ้าขุนทอง

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต


เทศน์บนศาลา วันที่ ๑๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๖๒

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี


ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรมนะ ตั้งใจฟังธรรมเพราะวันนี้วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาเพราะวันนี้วันออกพรรษา

วันก่อนวันเข้าพรรษา เห็นไหม วันเข้าพรรษา ครูบาอาจารย์ของเราท่านไปทำวัตรครูบาอาจารย์เพื่อไปขออุบาย ไปขออุบายมาเพื่อประพฤติปฏิบัติไง เวลาออกพรรษาขึ้นมาแล้ว

ในสมัยพุทธกาลนะ เวลาสมัยพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม เสวยวิมุตติสุข ไปเทศนาว่าการได้ปัญจวัคคีย์ ได้ยสะ เวลาได้เป็นเอหิภิกขุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบวชให้เอง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้อบรมสั่งสอนเอง

แต่เวลาคณะสงฆ์ใหญ่ขึ้นไง คณะสงฆ์ใหญ่ขึ้น พระออกประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้วมันยังไม่ได้มีการจำพรรษา มันไปเหยียบพืชผักไร่นาของคนอื่นเขา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงบัญญัติให้มีการเข้าพรรษา เวลาเข้าพรรษาขึ้นมา พระจะต้องจำพรรษา

พระจำพรรษาขึ้นมา เป็นโอกาสที่พระได้ประพฤติปฏิบัติ พระได้เข้มงวดกับตัวเอง พระพยายามที่จะชนะกิเลสของตนให้ได้ จะทะลุฟันฝ่ากิเลสของตนในใจของตนให้ได้ ฉะนั้น ก่อนเข้าพรรษาไปทำข้อวัตรครูบาอาจารย์ ไปทำวัตรครูบาอาจารย์ก็เพื่อขออุบายวิธีการเพื่อจะเอาชนะตนเองไง

เวลาประพฤติปฏิบัติในพรรษา ออกพรรษาแล้ว พระจักขุบาล วันออกพรรษานี่แหละ เวลาที่ว่าเป็นโรคตา หมอมาหยอดแล้วมันไม่หายๆ ถ้ามันไม่หาย ถ้าไม่นอนตาจะบอดนะ

เพราะท่านถือธุดงควัตรไง ท่านถือเนสัชชิก ท่านถือไม่นอน เวลาถึงก่อนวันเข้าพรรษา เวลาดวงตาจะดับเพราะว่ามันเป็นโรค มันมีเวรมีกรรมมาแต่อดีตชาติด้วย แล้วในปัจจุบันนั้นด้วย แต่ด้วยวุฒิภาวะ ด้วยกำลังใจของพระจักขุบาล เวลาโรคภัยไข้เจ็บอันนั้นทำให้ตานั้นบอดไป แต่หัวใจก็เบิกบานขึ้นมา

นี่ไง มันหลับตาลืมตาห่าอะไรของมึง นี่เวลาตาบอดๆ ตาบอดเป็นพระอรหันต์เว้ย เวลาพระอรหันต์ พระอรหันต์แต่หัวใจมันเบิกบานน่ะ หัวใจมันแจ่มแจ้งขึ้นมา ถ้ามันเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมาในหัวใจ เห็นไหม

ออกพรรษาแล้ว พระที่จำพรรษาด้วยกัน พระจักขุบาลก็สอนให้จนเป็นพระอรหันต์น่ะ กลับไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้หลานมารับพระจักขุบาลกลับไป พระจักขุบาลกลับไปเป็นพระอรหันต์ตาบอด แต่เป็นพระอรหันต์ในหัวใจนี้ผ่องแผ้ว นั้นออกพรรษาแล้วไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง

วันนี้วันออกพรรษา ถ้าวันออกพรรษาออกขึ้นมาแล้ว ในพรรษาหนึ่ง เราสมบุกสมบันนะ เราพยายามเข้มงวดกับตัวของเราเอง เราพยายามประพฤติปฏิบัติของเราเอง แล้วเราก็สังเกตดูในใจของเราดูสิ มันหงอยมันเหงา มันเศร้ามันสร้อย มันรื่นเริงมันอาจหาญ มันมีความสุข มีความง่วงเหงาหาวนอน ร้อยแปด

เวลาคนจะชนะตัวเองได้ๆ การชนะตัวเองได้มันต้องฝึกฝนมา ฝึกฝนมาน่ะ หนึ่ง อำนาจวาสนาของคนด้วย ถ้าคนมีอำนาจวาสนาของคนนะ มันมีเจตนาไง

เขามีศรัทธามีความเชื่อ มีศรัทธานะ คนที่มีอำนาจวาสนามันจะมีสติมีปัญญาคิดหาเหตุผลนะ อะไรเป็นความจริง อะไรมันเป็นความสุขแท้ อะไรเป็นแก่นของชีวิต มันจะแสวงหาไง

แล้วเราเกิดมา เราเกิดมาสภาคกรรมๆ เราเกิดในสังคมใด แต่ถ้าสังคมใดเขามีความรู้ความเชื่ออย่างนั้นนะ เราอยู่ในสังคมนั้น ถ้าสังคมนั้น ถ้าความเชื่อนั้น เกิดในประเทศอันสมควร เกิดในพ่อแม่ที่ดี พ่อแม่อนุญาตให้บวช พ่อแม่พาลูกไปบวช พ่อแม่บวชทั้งครอบครัวมันก็มี

ถ้าไปถึงแล้วถ้ามันมีความขัดแย้ง เห็นไหม พระรัฐบาล พ่อแม่เป็นเศรษฐีไง มีลูกชายคนเดียว อยากจะบวชๆ พ่อแม่ไม่ให้บวช เพราะลูกคนเดียว อยากให้สืบทอดตระกูลต่อไป ขอแม่บวช แม่ไม่ให้บวช ไม่ให้บวช อดอาหาร อดตายเลยล่ะ

แม่ก็ไปเอาเพื่อนฝูงมาช่วยเกลี้ยกล่อม เพื่อนฝูงรู้จักนิสัยกันก็บอกแม่เลย บอกแม่ว่า ถ้าไม่ให้บวชนะ อยากเห็นหน้าลูกหรือไม่ ถ้าอยากเห็นหน้าลูกต้องให้ลูกบวช ถ้าไม่ให้บวชจะไม่ได้เห็นหน้ากันอีกต่อไป อดตาย แต่เขาก็จำเป็นต้องให้บวช

นี่พูดถึงว่า ถ้าในทัศนคติที่มันแตกต่างกัน ถ้าทัศนคติที่เหมือนกัน ถ้าเรามีอำนาจวาสนา เราได้บวช ได้บวชเป็นพระ ได้บวชเป็นพระแล้วเวลาจะประพฤติปฏิบัตินะ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เรามีแผนที่เครื่องดำเนินแล้ว

ถ้าเรามีแผนที่เครื่องดำเนิน เราจะประพฤติปฏิบัติ เราจะเอาความจริง เอาในหัวใจของเราไง ถ้าเอาความจริงในหัวใจของเรา เราจะต้องหาที่เป็นสัปปายะ คนเวลาปฏิบัติหาที่สงัดที่วิเวกเพื่อค้นคว้าหาใจของตน ถ้าค้นคว้าหาใจของตน ถ้ามันได้หัวใจของตนได้หรือไม่

ผู้ที่เป็นสัมมาทิฏฐินะ สัมมาทิฏฐิถูกต้องดีงามขึ้นมา เขาเชื่อ เขาลงในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ถ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิๆ มิจฉาทิฏฐิมันเกิดมาจากไหน มิจฉาทิฏฐิมันก็เกิดมาจากกิเลสตัณหาความทะยานอยากในความเห็นของกิเลสตัณหาความทะยานอยากไง มันบิดมันเบือนในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง

แต่ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐินะ มันเชื่อมันฟัง ถ้ามันเชื่อมันฟังแล้วมันพยายามจะเอาชนะใจของตนเอง การเอาชนะใจของตนเอง เห็นไหม

ในสมัยปัจจุบันนี้ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติของท่านมาก่อน เวลาท่านประพฤติปฏิบัติของท่านมาก่อน ท่านวางข้อวัตรปฏิบัติไว้ไง

เวลาเราเกิดมาแล้ว เราเกิดมาท่ามกลางที่การประพฤติปฏิบัติที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นมา มันมีข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมาที่เราจะเอาจริงเอาจังกับหัวใจของเราไง แต่ถ้ามันยังไม่มี เวลาที่มันไม่มีขึ้นมา เขาเสาะเขาแสวงเขาหาของเขา เขาเสาะเขาแสวงของเขา มันเสาะแสวงหาแล้วมันได้ตามความเป็นจริงหรือไม่

มันอยู่ที่วาสนาจริงๆ นะ ดูสิ เวลาเราเห็นเขาคดเขาโกงกัน เฮ้ย! คนมันเชื่อได้อย่างไร มันเชื่อได้อย่างไร มันก็แปลกใจนะ แต่เขาก็เชื่อ นั่นก็วาสนาของเขา ถ้าวาระของกรรมยังไม่ให้ผลนะ เวลากรรมมันให้ผล มันเป็นอย่างนั้นไปหมดล่ะ

แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญาของเรานะ เราไม่เชื่ออย่างนั้น ถ้าเราไม่เชื่ออย่างนั้น ถ้ามีศรัทธาศึกษาพระพุทธศาสนา ศึกษาๆ ศึกษาอะไร

เวลาพระจะบวชไง เวลาอุปัชฌาย์ให้เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ถ้าผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เราพยายามค้นคว้าของเรา พยายามประพฤติปฏิบัติของเรา ถ้าเราทำของเราได้ เห็นไหม

เราศึกษามาแล้ว ศึกษาศีล ๒๒๗ ศีล ๒๒๗ มันก็สมบูรณ์แบบอยู่แล้ว แล้วถ้าครูบาอาจารย์ท่านเป็นสำนักปฏิบัติ ท่านให้โอกาสให้ปฏิบัตินะ

ถ้าสำนักที่เขาไม่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เขามีการศึกษา เวลาศึกษาๆ ฉันแล้วก็เข้าห้องเรียน ห้องเรียนก็เรียนนักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก เวลาเรียนบาลี ท่องศัพท์ ท่องศัพท์ขึ้นมาแล้วเพื่อจะไปไขตู้พระไตรปิฎก ถ้าไขตู้พระไตรปิฎกไปแล้ว ไขบาลีให้ออกมาเป็นสัจจะเป็นความจริง นี่คือเป็นการศึกษาทั้งสิ้น การศึกษานี้เป็นภาคปริยัติ

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ปริยัติคือการศึกษา ศึกษามาให้มีความรู้ มีความรู้ขึ้นมาเพื่อให้ประพฤติปฏิบัติ ไม่ใช่ศึกษามาแล้วเป็นความรู้ของเราๆ เห็นไหม

เวลาหลวงปู่มั่นท่านอบรมสั่งสอน ท่านบอก การศึกษาศึกษามาแล้ว ศึกษาเป็นแนวทาง แต่เวลาภาคปฏิบัติๆ เขาจะปฏิบัติตามเป็นจริงของเขา ในการศึกษานั้น ศึกษามาระวังนะ กิเลสมันจะเอาไปเป็นอาวุธของมันมาหลอกมาล่อเราอีก

ไม่เรียนก็ไม่รู้ เรียนขึ้นมาแล้วรู้แล้วทำไม่เป็น แล้วทำไม่เป็นแล้วก็ทำไม่ได้ พอทำไม่ได้ขึ้นมาก็หันรีหันขวางไง

แต่เวลาหลวงปู่มั่นท่านบอก ศึกษามา ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สาธุ เทิดใส่ศีรษะไว้ วางอันนั้นไว้ วางไว้ให้ได้ เราศึกษามา ศึกษามาเพื่อป้องกันการประพฤติปฏิบัติที่มันผิดมันพลาด ถ้ามันเสียหายไปแล้ว เอาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเป็นเครื่องประกอบในการทบทวนว่าเราปฏิบัตินี้ถูกหรือผิด

เราศึกษาแล้วเราวางไว้ ศึกษาไว้เพื่อเป็นเครื่องประกอบเวลาเราประพฤติปฏิบัติไง เวลาปฏิบัติเราต้องวางการศึกษานั้นไว้ก่อน แล้วเราปฏิบัติตามเป็นจริงของเราๆ ถ้ามันเป็นความจริงของเราขึ้นมานะ มันเป็นความจริงของเราขึ้นมา มันรู้มันเห็น

สติ ชื่อสติ สติอยู่ในหนังสือ เวลามันเป็นกับหัวใจนะ เวลาเราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกโธ เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เดี๋ยวก็เหม่อ เดี๋ยวก็ลอย เดี๋ยวก็ไม่มีสติเท่าทันอารมณ์ของตน เวลาเราตั้งใจขึ้นมา สติเราสมบูรณ์แบบขึ้นมา เดินจงกรม เอ๊อะ! อ๋อ! มันไม่เหม่อไม่ลอย มันไม่ฟุ้งไม่ซ่าน อ๋อ! สติมีคุณสมบัติอย่างนี้

เดินจงกรมด้วยความสติสมบูรณ์ขึ้นมา เวลาจิตถ้ามันลง อ๋อ! สมาธิมันเป็นอย่างนี้ ชื่อเรียนมา สติ สมาธิ ปัญญา แล้วเวลาเป็นขึ้นมามันอ๋อๆ ขึ้นมา อ๋อ! ขึ้นมานะ มันก็สมบูรณ์แบบในหัวใจของตน แต่สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง มันก็เป็นของชั่วคราว เดี๋ยวมันก็เจริญงอกงามขึ้นมา เดี๋ยวก็เสื่อมสภาพของมันไป การฝึกฝนของเรา เราก็ต้องฝึกฝนของเราต่อเนื่องของเราไป

เวลาหลวงปู่มั่นท่านสอน ท่านสอนว่า เวลาจะประพฤติปฏิบัติ สิ่งที่ศึกษามาแล้ววางมันไว้ก่อน อย่าเอามาปะปนกัน ถ้าปริยัติกับปฏิบัติ ปฏิบัติไปพร้อมกันมันจะเตะมันจะถีบ มันจะเตะมันจะถีบคือมันจะสร้างภาพ มันจะทำให้เราหันรีหันขวาง

แล้วพอหันรีหันขวาง เห็นไหม จะว่าใช่ก็ไม่ใช่ ไอ้ว่าไม่ใช่หรือมันก็จะใช่ นี่มันหันรีหันขวางอยู่อย่างนั้นน่ะ แล้วมันไม่เป็นความจริงของเราขึ้นมา เราวางของเราไว้ แล้วเราพยายามประพฤติปฏิบัติของเรา

เวลาการศึกษา การฝึกฝนของเรา เราฝึกฝนของเราขึ้นมาเพื่อประโยชน์กับในหัวใจของเรานะ หัวใจของเรามันทุกข์มันยาก เวลามันทุกข์มันยากทุกคนรู้ได้ ความทุกข์นะ ให้คุยกันเรื่องความทุกข์คุยได้ทั้งวันเลย ความสุขก็เล็กๆ น้อยๆ

ทีนี้พอเป็นความทุกข์ ความทุกข์นี้เป็นสัจจะเป็นความจริง ความทุกข์เป็นสัจจะเป็นความจริง เราเกิดขึ้นมา ความทุกข์คือการทนอยู่ไม่ได้ เราทนสิ่งใดอยู่ไม่ได้หรอก แต่ชีวิตที่เกิดมามันโดยสัญชาตญาณ มันเปลี่ยนแปลงของมันตลอดเวลา ทุกข์คือความทนอยู่ไม่ได้ เราอยู่ในอิริยาบถเดียวไม่ได้หรอก เราจะยืนจะเดินจะนั่งจะนอนพลิกไปพลิกมาอยู่อย่างนั้นน่ะ เวลาเราไม่เห็นทุกข์ไง

ทุกข์เป็นสัจจะ ทุกข์เป็นความจริงอยู่แล้ว ฉะนั้น ถ้าทุกข์เป็นสัจจะ ทุกข์เป็นความจริงอยู่แล้ว เราศึกษานะ คนเราเกิดมามีการศึกษา ศึกษาทางโลกนั้นเป็นวิชาชีพ เวลาเราจะบวชเป็นพระ เวลาถ้าเป็นพระกรรมฐาน เราก็ศึกษาจากอุปัชฌาย์ อุปัชฌาย์ให้เรา เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ

แล้วเวลาเรามีครูบาอาจารย์ๆ ในวัดมันก็มีประวัติครูบาอาจารย์ มีตำรับตำราอยู่แล้ว แล้วถ้าเราศึกษา เราก็ศึกษาจากภาคปฏิบัติ จากภาคปฏิบัติศึกษาจากตัวอย่าง ศึกษาจากหลวงปู่มั่นทำให้ดู ศึกษาจากพระมหาบัวทำให้ดู เราศึกษาจากตัวอย่าง ศึกษาจากการกระทำนั้น ถ้าศึกษาจากการกระทำนั้น พอศึกษาจากการกระทำนั้น เราก็จะพยายามประพฤติปฏิบัติของเรา

ถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติของเรา เวลาเราศึกษาแล้ว เวลาเรามีโอกาส เราก็เข้าทางจงกรม นั่งสมาธิภาวนาเพื่อดูแลหัวใจของเรา พัฒนาหัวใจของเราให้หัวใจของเรามันเข้มแข็งขึ้นมา ถ้ามันทำสมาธิได้ก็ให้เป็นสมาธิให้มันสงบระงับเข้ามา ถ้ามันสงบเข้ามา เห็นไหม

พ่อสอนลูก

เห็นนกไหม นก นกแร้งเวลามันบินของมัน มันบินในภูมิอากาศที่อุณหภูมิสูง ต้องให้อากาศมันร้อน มันจะบินร่อนของมันนะ มันบินร่อนของมัน มันมองได้ไกลนะ ๓ กิโล ๔ กิโล เวลามันมีรัง มันมีลูกของมัน มันต้องไปกินอาหาร เอาอาหารมาให้ลูกมัน กว่ามันจะสอนลูกของมันบินได้ มันต้องเลี้ยงลูกจนลูกมันโต ลูกมันโตแล้วมันก็บินของมัน สอนให้ลูกบิน บินเพื่อเลี้ยงชีพไง

เวลานกอินทรีย์ อินทรีย์ทะเลเวลามันจับปลา เหมือนกัน เวลามันมีคู่ มันมีรังของมัน มันต้องบิน ต้องจับปลา จับปลาเพื่อมาเลี้ยงลูกมัน กว่าลูกมันจะบินได้ ถ้ามันบินของมันได้ ครอบครัวของมันโดยสัจจะเป็นความจริงไง นกกระจอก นกกระจิบ มันบินทั้งนั้นน่ะ นกมันบิน

แต่มันมีเจ้าขุนทอง เจ้าขุนทอง เจ้าขุนทองโดยธรรมชาติมันก็บินนะ มันก็ต้องเลี้ยงชีพของมันโดยธรรมชาติของมันทั้งสิ้นน่ะ ถ้าเจ้าขุนทอง เจ้าขุนทองมันมีการศึกษา เวลามันศึกษาขึ้นมาแล้วมันติดในทิฏฐิมานะในการศึกษาของมันไง ถ้าจะเป็นสมาธิก็ต้องมีจรณะ ๑๕ ต้องมีอายตนะภายนอก อายตนะภายใน อายตนะภายใน ๖ อายตนะภายนอก ๖

มันติดทิฏฐิมานะ ติดกรงของมัน มันบินไม่เป็น มันบินไม่ได้ มันอยู่ในกรงของมันไง พอบินไม่ได้มันก็ว่านะ นกแร้ง นกอินทรีย์ เหยี่ยวมันบินนั่นน่ะ มันหลับตาหรือมันลืมตา มันหลับตาบิน มันบินไม่ได้

มันจะไปหลับตาอะไร มันบินของมันอยู่นั่นน่ะ มันลืมตา แต่เวลามันจะเลี้ยงลูกของมัน เวลามันเลี้ยงลูกของมัน เวลามันเหนื่อยล้าขึ้นมา เวลานกมันเกาะคอน เวลามันนอนมันก็หลับตาทั้งนั้นน่ะ เวลาเขาพักเขาผ่อนเขาก็หลับตา เวลาเขาบิน เขาหาอาหาร มันไม่ลืมตามันจะไปหาอาหารมันเจอหรือ มันเห็นไกล ๓ กิโล ๔ กิโล นู่นน่ะ เวลาเหยี่ยวมันบินของมันน่ะ นั่นมันบินของมัน

เจ้าขุนทอง เจ้าขุนทองบินเถิด บิน บิน บิน เจ้าขุนทองบินเถิด บินไม่ได้ มันติดทิฏฐิมานะของมัน ติดจรณะ ๑๕ อายตนะภายใน ๖ ภายนอก ๖ จรณะ ๑๘ มันติด มันบินไม่ได้ บินไม่เป็นนะ เขาบินกันอยู่ มันบินไม่ได้ มันบินไม่ได้มันจะบอกเลย ไอ้ที่บิน บินหลับตาหรือบินลืมตา ถ้าบินหลับตามันจะถูก บินหลับตามันผิด

เขาบินของเขาอยู่ เขาเลี้ยงชีพของเขาอยู่ มันอยู่เป็นสัจจะเป็นความจริงไง

นี่ก็เหมือนกัน ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศีล สมาธิ ปัญญา มันเป็นความจริงในข้อเท็จจริงนั้น ถ้าความจริงในข้อเท็จจริงนั้นน่ะ ใครที่มีอำนาจวาสนาขึ้นมาในหัวใจขึ้นมา ถ้ามันทำความเป็นจริงของมันขึ้นมา มันจะหลับตา มันจะลืมตา มันเป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก ไอ้คนที่มืดบอดต่างหาก มันถึงว่าหลับตาลืมตาอยู่นั่นน่ะ

สมาธิไม่มีหลับตาลืมตา สมาธิเป็นสมาธิ ไอ้ที่ว่าจรณะ ๑๕ เป็นสัมโพชฌงค์ วิจัยธรรมน่ะ สัมโพชฌงค์น่ะ อันนั้นมันขั้นของปัญญา

เวลาของปัญญานะ ถ้าทำสมาธิยังทำไม่เป็น ทำสมาธิยังทำไม่ได้ เวลามันจะเกิดปัญญา เจ้าขุนทอง เจ้าขุนทองตัวหนึ่งหลับตา ตัวหนึ่งลืมตา มันเถียงกันอยู่ในกรงน่ะ โลกุตตระกับโลกียะมันตีกัน เจ้าขุนทองมันตีกันนะ ตัวหนึ่งบอกว่าอันนี้กูเป็นโลกุตตระ มึงเป็นโลกียะ มันตีกันอยู่นั่นน่ะ มันตีกันอยู่ในกรงนั่นน่ะ นี่เจ้าขุนทอง

ขุนทองมีการศึกษามีการค้นคว้า มีการจำก็จำมาอย่างนั้นน่ะ แล้วมันก็มีแต่ชื่อ มีแต่ราคาคุย แล้วเวลามันปฏิบัติขึ้นมามันก็อยู่ในสมุดดินสอ ตาเถ่ออยู่อย่างนั้นน่ะหลับตาลืมตา บินไม่เป็น บินไม่ได้

นกบินไม่ได้ก็มีนะ นกกระจอกเทศ นกอีมูมันบินไม่ได้ แต่เข้าไปใกล้มันเตะตายเลย นกที่มันบินไม่ได้มันก็มีคุณสมบัติที่มันจะรักษาตัวของมัน นกกระจอกเทศ เข้าไปใกล้ๆ มัน มันเตะกระเด็นเลย แต่มันบินไม่ได้นะ มันบินไม่ได้ นกที่บินไม่ได้ก็มี

แต่นกมันต้องบิน ขุนทองบินเถอะ บิน บิน บิน แต่มันบินไม่ได้ นกที่บินได้มันกลับบินไม่ได้เพราะมันไปติดทิฏฐิมานะ ติดความเห็นของตน แล้วบอกว่ามันยังเถียงกันเองนะ โลกียะ โลกุตตระ มันเถียงกันเอง มันเป็นสมมุตบัญญัติทั้งสิ้น

จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะอยู่ในวัฏฏะ สิ่งที่เป็นวัฏฏะ วัฏฏะมันมีอยู่โดยดั้งเดิม แต่มนุษย์ที่เกิดมาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเกิดตามเวรตามกรรม พอเกิดมาตามเวรตามกรรมขึ้นมาแล้ว สิ่งนี้มันเป็นสมมุติบัญญัติ มันเป็นสมมุติทั้งสิ้น ถ้าสมมุติทั้งสิ้น เราอยู่ในสมมุตินี้ สมมุตินี้เราก็คิดโลกจากสมมุตินี้ ถ้าคิดจากสมมุตินี้มันจะเป็นโลกุตตระไปที่ไหน มันจะเป็นความจริงไปที่ไหน

เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๙ ประโยค ๑๐ ประโยค เขาศึกษามาเขาเรียบเรียงธรรมะของเขา เขาแปลเพื่อจะที่ไปไขพระไตรปิฎกไง ศึกษาบาลีขึ้นมาเพื่อจะไปไขพระไตรปิฎก ศึกษาบาลีนะ พระไตรปิฎกจากตู้พระไตรปิฎกไง แล้วจะไปไขพระไตรปิฎกในไง ไขพระไตรปิฎกในก็ไขในหัวใจของตนไง ถ้าหัวใจของตนมันหาใจของมันไม่เจอ มันหารูกุญแจไม่เจอ มันทำไม่ได้หรอก

นี่ภาคปริยัติ ปริยัติเขาศึกษามา ศึกษามาเพื่อปฏิบัติไง ถ้าศึกษามาเพื่อปฏิบัติขึ้นมา เวลาปฏิบัติขึ้นมา ถ้าปฏิบัติมาหันรีหันขวาง

เวลาปฏิบัติสังคมในปัจจุบันนี้ในสำนักปฏิบัติมากมายมหาศาล แล้วก็ต่างอบรมสั่งสอนกันไป อบรมสั่งสอนมันก็เป็นกรรมของสัตว์ เวลากรรมของสัตว์ สิ่งที่เวลาผลของวัฏฏะๆ คนที่เกิดมาแล้วมีอำนาจวาสนามากน้อยขนาดไหน

เราเกิดมาแล้ว เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เวลาพระพุทธศาสนาขึ้นมา เกิดมาในระดับของทาน ระดับของทานที่ไหนเขามีสำนักปฏิบัติก็ไปปฏิบัติกับเขา เวลาปฏิบัติกับเขานั่นมันก็เป็นคุณประโยชน์กับผู้ที่ไปปฏิบัตินั้น เพราะผู้ที่ปฏิบัตินั้น การประพฤติปฏิบัตินะ ปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเถิด

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน อานนท์เธอบอกเขานะ เวลาคนที่เขามาเคารพบูชาเขาเคารพด้วยธูปเทียน ดอกไม้ธูปเทียนไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน สั่งพระอานนท์ไว้เลย “อานนท์ เธอบอกเขานะ ปฏิบัติบูชาเราเถิด อย่าบูชาด้วยอามิสเลย”

สิ่งที่บูชาด้วยอามิสไง ระดับของทานบูชาด้วยอามิสไง แต่อยากจะประพฤติปฏิบัติ ก็เรามีวุฒิภาวะ เรามีจิตใจอย่างนี้ไง เราก็ไปประพฤติปฏิบัติกัน แค่สำนักไหนก็แล้วแต่นะ เขาให้ทำความสงบของใจ ให้อยู่ในระเบียบวินัยน่ะ โอ๋ย! สุดยอดๆ จะนิพพานกันแล้วนะน่ะ

เจ้าขุนทองมันฉอเลาะออเซาะอยู่อย่างนั้นน่ะ เจ้าขุนทองมันพร่ำเพ้ออยู่นั่นน่ะ มันยังบินไม่เป็นเลย มันยังบินไม่ได้เลย เจ้าขุนทองน่ะ

พอบินไม่เป็นแล้วมันเห็นครูบาอาจารย์ของเรา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นครูบาอาจารย์ของเรานะ มันอยู่ที่จริตนิสัย ดูสิ เวลาหลวงปู่เจี๊ยะท่านพูดถึงครูบาอาจารย์ พูดถึงหลวงปู่มั่นน่ะ บอกตาเหยี่ยวเลย อย่างกับเหยี่ยว บินโฉบมานี่ลูกศิษย์ลูกหาหลบกันแทบไม่ทันน่ะ เพราะอะไร เพราะเรามัวแต่ละเมอเผอเรอ

เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านเทศนาว่าการ ท่านชี้มา หลวงตาท่านเห็นนะ ท่านบอกเลย เห็นพระที่วัดของท่าน ท่านบอกเลยนะ ถ้าเดินโดยความเหม่อลอยโดยขาดสติ มันเห็นแล้วมันขัดตามาก

นี่เหยี่ยว ตาของเหยี่ยว มันโฉบเลย นี่ไง เราปฏิบัติกันโดยครูบาอาจารย์ ปฏิบัติโดยตรง ปฏิบัติสายตรง มันเหมือนกับเหยี่ยว เหมือนกับแร้ง เหมือนกับอินทรีย์ที่มันเลี้ยงลูกมัน มันจะสอนให้ลูกมันบิน บิน บิน มันบินได้ ธรรมชาติของนกมันต้องบิน

นี่เหมือนกัน เจ้าขุนทองมันติดกรงของมัน มันบินไม่ได้หรอก มันบินไม่เป็น บินไม่เป็นแล้วมันยังบอกเลย ไอ้พวกที่บินมันหลับตาหรือลืมตาน่ะ ถ้าหลับตามันผิดนะ ถ้าลืมตาต้องมีจรณะ ๑๕ ต้องมีอายตนะ ๖ ต้องมีสัมผัส

ศีล สมาธิ ปัญญา

เห็นไหม สำนักปฏิบัติของเรามากมาย ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเพื่อความสุขความสงบในความเป็นมนุษย์ เด็กๆ เขาไปปฏิบัติกันตามยุวพุทธ เขาปฏิบัติมาให้พ้นจากความวิตกกังวล

เด็กมันมีความลังเลมีความสงสัย มีความวิตกกังวลของเขา เขาพยายามไปสำนักปฏิบัตินะ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ หรือหายใจเฉยๆ ดูลมหายใจ เด็กเขาปฏิบัติมามันยังมีความสุข สิ่งที่เคยตื่นกลัว เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยตื่นกลัวแล้ว สิ่งที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ เดี๋ยวนี้ควบคุมตัวเองได้แล้ว

เด็กๆ โดยสำนักปฏิบัติทั่วไปที่เขาปฏิบัติกัน เขาปฏิบัติเหมือนกับเราไปออกกำลังกายเพื่อสุขภาพกาย นี่เขาก็ปฏิบัติเพื่อสุขภาพจิตของเขา จิตที่มันวิตกกังวล จิตที่มันกลัว มันไม่กล้าเผชิญกับโลกแห่งความเป็นจริง เอาไปฝึกหัด พอฝึกหัดขึ้นมาแล้วเขามีสติสมบูรณ์แบบ เขามีหลักการของเขา เขาก็อยู่ในสังคมโดยเป็นอิสระของเขาไง ไม่ต้องตื่นกลัวกับสังคมนั้นไง

ถ้าปฏิบัติ นี่การปฏิบัติ การปฏิบัติมันอยู่ที่วุฒิภาวะผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเขามีอำนาจวาสนามากน้อยแค่ไหน แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าวุฒิภาวะขนาดนั้น คนเรามีความทุกข์ความยากแบกหามสัญญาอารมณ์ แบกหามทิฏฐิมานะไว้เต็มตัวเลย แล้วมาหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ มันวางภาระอันนั้นได้ วางภาระสิ่งที่แบกไว้ที่หนักหน่วงในหัวใจมันวางลงได้มันก็มีความสุขแล้ว แล้วถ้ามีความสุขอย่างนี้ขึ้นมาจะบอกว่านั่นน่ะนิพพานๆ ก็วุฒิภาวะของเขาอย่างนั้นไง ถ้าอาจารย์เขาอ่อนด้อยอย่างนั้นมันก็แค่นั้นไง ไอ้คำที่ว่า “เขาวางภาระนั้นได้” เขาก็วางภาระเฉยๆ

แต่ถ้าหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ จนตัวมันเองเป็นสัมมาสมาธินะ ถ้าเป็นสัมมาสมาธิ นี่ไง นกมันจะบิน บิน บิน มันบินโดยธรรมชาติของมันไง นกมันบินได้ นกมันต้องบิน

สัมมาสมาธิ ถ้าจิตมันเป็นสมาธิ มันต้องเป็นสมาธิโดยตัวของมันเอง สิ่งที่มันเป็นจริงๆ มันต้องเป็นจริงของมันขึ้นมา ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมา มันเป็นมาจากไหน

ธรรมทั้งหลายมันต้องมาแต่เหตุ เรามาประพฤติปฏิบัติกัน หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เราเป็นผู้ที่บรรลุนิติภาวะ เราเป็นผู้ที่รับผิดชอบผลการกระทำของเราเอง ผลของการกระทำที่เราทำอยู่กับโลกนี้ เราทำหน้าที่การงานของเรา มันก็เกิดจากผลการกระทำของเรา ผิดชอบชั่วดีเป็นผลการกระทำของเรา ไอ้นี่มันเป็นเรื่องโลก เห็นไหม แต่ที่เราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราวางหมดเลย

แต่พออยู่ทางโลกก็บอกว่า “เราอยากมีเวล่ำเวลาที่จะประพฤติปฏิบัติ เราอยากมีเวล่ำเวลามากเพราะมันเรียกร้อง” นี่กิเลสมันหลอก เวลาจะมาปฏิบัติขึ้นมา พอเข้าทางจงกรมขึ้นมามันคิดส่งออกไปข้างนอกอีกแล้ว เป็นห่วงไอ้นู่น เป็นห่วงไอ้นี่ เป็นห่วงไอ้นั่น ไอ้นั่นจะแวบเข้ามาตลอดเลย เพราะจิตดวงเดิมนั่นแหละ มันก็เป็นใจของเรานั่นน่ะ เราอยู่ทางโลกเราก็คิดทางโลก เรามาอยู่ทางวัดมันก็จะคิดออกไป มันก็คิดเหมือนเดิมนั่นแหละ แต่ถ้าเราฝึกหัดของเรานะ เราฝึกหัดของเราด้วยการที่ภาวนา การภาวนาของเราถ้ามีสติสัมปชัญญะไง

เวลาหลวงตา เวลาครูบาอาจารย์ของเรานะ หลวงตาท่านพูดเอง ท่านบอกว่า ถ้าเอาความเข้มงวดเพื่อเข้มงวดตัวเองนี่สุดยอด

เวลาคนที่มันเข้มงวดกับตัวเอง การเข้มงวดกับตัวเองเพื่อไม่ให้มันแฉลบมันแลบ มันต้องมีการเข้มงวดกับตัวเอง การเข้มงวดต่อเนื่องๆ เห็นไหม

นี่ไง หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ที่เป็นเหยี่ยว ท่านสอนให้นกบิน บิน บิน บินมาจากไหน บินให้มันบินเป็นไง ถ้าหัวใจมันบินได้ การบินนั้น ธรรมชาติของนกมันต้องบิน

จิต ธรรมชาติของจิตเป็นนามธรรมๆ ความรู้สึกนึกคิดนี้เป็นนามธรรม แต่สิ่งที่เป็นนามธรรมถ้ามันเป็นสัมมาสมาธิมันเป็นอิสระของมัน ถ้าเป็นอิสระของมันนะ มันมีกำลังของมัน ถ้ามีกำลังของมัน สัมมาสมาธิมันจะไปหลับตาลืมตามาจากไหน หลับตาลืมตามันตกภวังค์ทั้งสิ้น

เวลาคนภาวนา คนภาวนาเป็น เวลาพุทโธๆ แวบหายเลย นี่มันหายไป มันหายไปไหน เวลามันหายไป พอหายไปมันก็อยู่ที่วาสนาของคน บางคนหายไป ๓ ชั่วโมง บางคนหายไป ๔ ชั่วโมง บางคนเกิดๆ ดับๆ เดี๋ยวหาย เดี๋ยวมา เดี๋ยวมา เดี๋ยวหายอยู่อย่างนั้นน่ะ มันไม่หายไปนาน นี่การตกภวังค์

คนที่ภาวนาถ้ามันตกภวังค์ไป มันตกภวังค์ไปเพราะอะไร เพราะความไม่ละเอียดรอบคอบ เพราะสติสัมปชัญญะเราอ่อนแอแล้วเราควบคุมของเราไม่ได้ไง

นี่การทำสมาธิ เขาบอกหลับตาไม่ได้ หลับตาไม่ได้

ลืมตาก็ไม่ได้ ถ้าหลับตาไม่ได้ ลืมตาก็ได้ หลับตาลืมตาไม่เกี่ยวกับสมาธิ ไม่เกี่ยวกันเลย ไอ้ที่ว่าจรณะ ๑๕ ๑๖ ๑๘ อะไรนั่นน่ะ อันนั้นมันอยู่ขั้นของปัญญา เดี๋ยวสัมมาสมาธิถ้าเป็นสมาธิได้ สมาธิจับได้ แล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนาเป็น

ไอ้เจ้าขุนทอง เถียงกันโลกียะโลกุตตระอยู่ในกรงนั่นน่ะ แล้วไอ้จรณะ ๑๕ ๑๖ นั่นน่ะ ไอ้ทิฏฐิมานะนั้นมันก็บินไม่ได้ ยังเถียงกันอีกนะ โลกียะ โลกุตตระ

มันไม่มีโลกียะโลกุตตระ มันสมมุติทั้งนั้นน่ะ สมมุติบัญญัติ โลกทัศน์ออกจากความรู้สึกนึกคิด มันไม่มีหรอก โลกียะโลกุตตระอะไรไม่มีหรอก สัญญาทั้งนั้น ความจำได้หมายรู้ทั้งนั้น จดออกมาจากสมุดดินสอ มันจะไปโลกียะโลกุตตระที่ไหน มันเหมือนกับเด็กนักเรียนเรียนหนังสือเลย มันจะไปโลกียะโลกุตตระตรงไหน

แต่ครูบาอาจารย์ของเรา เราประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง เวลาประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง สิ่งที่ว่าหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นอย่างกับเหยี่ยว ท่านพยายามฝึกหัดลูกศิษย์ของท่านนะ

เหมือนนก นกมันเลี้ยงลูก เวลามันฟักไข่ นกฟักไข่แล้วมันต้องหาอาหารป้อนลูกมัน แล้วต้องคุ้มครองดูแลภัยด้วย แล้วถึงเวลาแล้วถ้ามันโตจนบินได้ ต้องฝึกบิน หัดบิน นกต้องบิน แล้วต้องบินได้ด้วย บินได้แล้วหัดจับเหยื่อกินเอง แต่เวลาลูกน้อย พ่อแม่ก็หามาป้อน หามาเลี้ยง หามาดู เลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่ขึ้นมา

นี่ไง ที่เราเคารพครูบาอาจารย์กันอย่างนี้ไง เคารพครูบาอาจารย์ที่ไหน ก็เคารพครูบาอาจารย์ที่หัวใจเรานี่ไง หัวใจของเราเวลามันอ่อนด้อยขึ้นมา มันเหลียวหน้าเหลียวหลังเสียวไปทั้งสิ้น ทำอะไรไม่ถูกสักอย่างหนึ่ง

ภิกษุบวชใหม่ที่ทนได้ยากคือคำสั่งสอน เพราะอะไร ฆราวาสธรรม เรามาจากฆราวาสไง นี่ไง เวลามาจากฆราวาส เรามาจากสิทธิเสรีภาพต้องเสมอกัน แต่สิทธิเสรีภาพก็คือนิสัยนั่นน่ะ พระมาจากฆราวาส นิสัยของฆราวาส แล้วเข้ามาแล้วมาบวชเป็นพระขึ้นมาแล้ว สมณสารูป

แค่ภิกษุบวชใหม่ สิ่งที่ทนได้ยากคือคำสั่งสอนนี่แหละ เพราะมันต้องเปลี่ยน เปลี่ยนจากพฤติกรรมของโลกที่สิทธิเสรีภาพๆ นี่แหละ แต่เวลาบวชมาเป็นพระแล้วมันมีอาวุโสมีภันเต

เห็นไหม เวลาพระบวชใหม่เขาจะมีพระพี่เลี่ยง พระพี่เลี้ยงคอยดูแล พระพี่เลี้ยงคอยดูแลจนพ้นนิสัย ๕ พรรษาเป็นผู้ฉลาดพ้นนิสัยๆ

เวลาประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน หัวใจที่ปฏิบัติไม่เป็นเขาก็มีพี่เลี้ยง เรามีครูบาอาจารย์ เราแสวงหาไง เวลาเราบวชแล้วต้องถือนิสัยจากอุปัชฌาย์ ถ้าอุปัชฌาย์สิ้นชีวิตไปให้ถือนิสัยอาจารย์ พอถือนิสัย นี่ขอนิสัยๆ ไง เพราะอะไร เพราะลงในธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ถ้าลงในธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอนิสัย ได้นิสัย

นี่ไง แม่นกกับลูกนกไง เลี้ยงดูกันตั้งแต่ตัวอ่อน แล้วฝึกบิน นกมันต้องบิน บิน บิน

เจ้าขุนทองติดทิฏฐิมานะในกรงของตนน่ะ บินไม่เป็น ถ้าบินเป็นนะ นกมันบิน มันหลับตาลืมตา เวลาบินมันก็ลืมตา เวลามันเหนื่อย เวลามันพักร้อน เวลามันนอน มันก็หลับตา

หลับตาลืมตามันเป็นเรื่องของสรีระ เรื่องของร่างกาย จิตใจจะหลับตาลืมตามันสว่างไสว มันสว่างโพลงในใจดวงนั้น เวลาปัญญามันเกิดนะ มันเกิดที่จิตนั้น เวลาจิตตภาวนาๆ เขาต้องจิตตภาวนา ไม่ใช่ปากภาวนา ไม่ใช้แต่น้ำลาย

สิ่งที่ว่าเจ้าขุนทองออเซาะฉอเลาะอยู่ในกรงของตัวนั่นน่ะ อยู่แต่ในกรงนะ ขุนทอง ออเซาะจะกินกล้วย “แม่จ๋าๆ จะกินกล้วย” ออเซาะฉอเลาะอยู่นั่นน่ะ นั่นน่ะเจ้าขุนทอง มันไม่เป็นความจริงหรอก แต่ถ้าเป็นความจริงๆ มันเป็นความจริง เป็นความจริงขึ้นมาๆ เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เห็นไหม

อย่างเช่นชาวพุทธเรา ชาวพุทธเรานะ ทุกคนอยากจะประพฤติปฏิบัติ แต่มันด้วยอำนาจวาสนาของคน เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา สำนักปฏิบัติทั่วๆ ไปเขาก็ปฏิบัติของเขา จะถูกจะผิดเขาก็เพื่อความสงบระงับนั้น ความสงบระงับมันอยู่ที่ว่าผู้ที่ให้ค่าไง “นี่นิพพานๆ” ไอ้นั่นก็เกินไป แต่โดยธรรมชาติ สำนักไหนเวลาปฏิบัติเขาก็จะให้ผ่อนคลาย

ศาสนาพุทธนี้ยิ่งใหญ่มาก หลวงตาท่านบอกไว้เลย ศาสนาพุทธเหมือนห้างสรรพสินค้า ใครเข้าไปหาสินค้า ใครมีความรู้ความสามารถมากน้อยขนาดไหน ห้างสรรพสินค้ามันมีของหลากหลายมหาศาล แล้วมันอยู่ที่ชาวพุทธนี่แหละ อยู่ที่เรา เรามีอำนาจวาสนามากน้อยแค่ไหน ถ้าเรามีอำนาจวาสนาของเรานะ เราสามารถทำได้ เราสามารถทำได้

แล้วถ้ามีอำนาจวาสนา เวลาครูบาอาจารย์เรานะ ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำได้ ในบรรดาสัตว์สองเท้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นมนุษย์ เราก็เป็นมนุษย์ หลวงปู่มั่นก็เป็นมนุษย์ เราก็เป็นมนุษย์ แต่เป็นมนุษย์ที่มีศักยภาพ เป็นมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่ เป็นมนุษย์ที่มีหัวใจที่เป็นธรรม ท่านมีอุดมการณ์ของท่าน ท่านมีสติปัญญาของท่าน พยายามแสวงหาหาทางออกกับใจของท่าน หาทางออกกับใจของท่านเหมือนกับเราหาทางออกกันอยู่นี่ไง ถ้าเราหาทางออกกันอยู่นี่ในหัวใจของเรา เราถามใจสิ ยังสงสัยอยู่หรือไม่

สงสัยทุกเรื่อง จิตจะเป็นสมาธิไม่เป็นสมาธิ จิตจะลงไม่ลง จะเกิดปัญญาไม่เกิดปัญญา มันเกิดตอนกิเลสมันหลอก แจ่มแจ้งนะ พอมันผ่านไปแล้ว เอ๊อะ! อะไรวะ ใช่หรือเปล่า สงสัยทั้งสิ้น ถ้าสงสัยนั่นคือประสบการณ์ของจิต การประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันเป็นเรื่องธรรมดา

แม่นก มันจะสอนให้ลูกมันบินนะ มันบินออกไปข้างนอกก่อน ไปเกาะที่คอน เกาะตามกิ่งไม้ แล้วก็พยายามส่งเสียงเรียกให้กำลังใจ ให้บิน บิน บิน ให้ลูกมันหัดบินไง

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราประพฤติปฏิบัติของเรา เวลาเรารู้ไปเห็นสิ่งใด เวลามันรู้เห็นขึ้นมา โอ้โฮ! สุดยอด แหม! ธรรมะมันยอดเยี่ยมมาก พอเดี๋ยวเวลามันผ่านไป เอ๊ะ! จริงหรือเปล่า มันก็เหมือนจะฝึกบินนั่นแหละ ลูกนกมันจะบิน

ถ้าลูกนกมันจะบิน มันก็ต้องฝึกหัดของมัน เวลาลูกนกมันจะบิน มันอาจจะตกก็ได้ ลูกนกที่ไม่มีวาสนา มันเป็นเหยื่อของนักล่าก็ได้ ในการประพฤติปฏิบัติของเราอาจจะผิดพลาดก็ได้ แต่มันจะผิดพลาดหรือจะไม่ผิดพลาดมันต้องมีการกระทำ ครูบาอาจารย์ท่านฝึก ฝึกหัดอย่างนี้ เพราะคนมันมีกิเลส

คนเรามีกิเลสนะ จริตนิสัยคนไม่เหมือนกัน การประพฤติปฏิบัติขึ้นมา กรรมฐาน ๔๐ ห้อง การทำความสงบ ๔๐ วิธีการ ทำไมถึงต้องมีถึง ๔๐ วิธีการล่ะ ต้องมี ๔๐ วิธีการเพราะอะไร เพราะจริตนิสัยของสัตว์โลกไง นี่ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐอย่างนี้ไง

ถ้าเอาอยู่อย่างเดียว พุทโธๆๆ อย่างเดียว ธัมโม สังโฆ มรณานุสติ เทวดานุสติ ปัญญาอบรมสมาธิ มีแตกต่างหลากหลายเพราะอะไร ถ้ามันมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างเดียวมันเครียด แล้วมันทำแล้วกิเลสมันรู้ทัน

เวลาหลวงตาท่านสอนไง เวลาภาวนาโง่อย่างกับหมาตาย

หมามันตายมันโง่ขนาดไหน เราเป็นคนนะ แล้วนักปฏิบัติอีกด้วย เป็นชาวพุทธด้วย เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าด้วย โง่ยิ่งกว่าหมาตาย หมาตายยังฉลาดกว่าเราเลย ฉลาดกว่าเพราะว่าเราไม่มีอุบายวิธีการไง

เวลาปฏิบัติมันจะผิดมันจะพลาดไม่ต้องไปเสียใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๖ ปี หลวงปู่มั่นสมบุกสมบันขนาดไหน เวลาครูบาอาจารย์ของเราสมบุกสมบันมาก การสมบุกสมบันนั้นก็เพื่อค้นคว้าหาใจของตน

ใจหายากไหม ใจของเราหายากไหม ใจของเราแท้ๆ ปฏิสนธิจิตเกิดในไข่ ในครรภ์ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะ ตัวจิตเป็นตัวเกิด เวลาเกิดขึ้นมาแล้วเป็นมนุษย์ นี่สมมุติ สมมุติว่าเป็นคน แล้วจิตล่ะ

พอสมมุติเป็นคนแล้วก็อยู่ที่คนนี่ไง ไปหาหมอ หมอตรวจที่ร่างกายนี้ไง ไปหาจิตแพทย์ จิตแพทย์ก็ทำให้จิตเรากลับมาเป็นปกตินี่ไง แล้วเวลาจะค้นหาจิต ใครหาจิตเจอ

นี่ไง มีแต่หลวงปู่มั่นนั่นแหละ เวลาลูกศิษย์ปฏิบัติผิดปฏิบัติถูก ท่านเพ่งเลย กำหนดดู เวลามาน่ะ “มหา มหาปฏิบัติย่างนั้นหรือ ทำอย่างนั้นเหมือนกับหมากัดกัน”

เวลาหลวงตาท่านพูดเลย ถ้าหลวงปู่มั่นส่งจิตมาดูก่อนหน้านั้นสัก ๒–๓ ชั่วโมง ท่านจะไม่พูดแบบนี้ ไม่พูดแบบนี้เพราะตอนนั้นผมกำลังใช้สติปัญญาแยกแยะกับธาตุขันธ์อย่างเต็มที่เลย แต่การประพฤติปฏิบัติไป ๒–๓ ชั่วโมงแล้วมันเหนื่อยอ่อนมาก มันเพลีย ก็เลยกำหนดสมาธิยันไว้ ยันไว้ไม่ให้กิเลสมันรุกมา พอดีหลวงปู่มั่นกำหนดจิตไปดูไง

“มหา มหาภาวนาอย่างนั้นหรือ ภาวนาอย่างนั้นเหมือนหมากัดกัน”

นี้เป็นผู้ที่ไปดูกับผู้ที่กระทำ เป็นทั้งเหตุและผล เป็นการยืนยัน เห็นไหม นี่พูดถึงว่าคนที่มีอำนาจวาสนาที่เข้าไปเห็นอย่างนั้นไง แต่ถ้าของเราล่ะ

ของเรา เราไม่มีความสามารถขนาดนั้น เราก็พยายามจะทำของเราไง ถ้าเราพยายามจะทำของเรา จิตอยู่ไหน จิตอยู่ไหน

จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันอยู่กลางหัวอกนี่แหละ มันเป็นเรานี่แหละ มันเป็นสัจจะความจริงนี่แหละ มันเป็นสิ่งมีชีวิต จิตไม่เคยตายๆ นี่ไง แต่เวลาเกิดเป็นคน เกิดเป็นคนน่ะวิบากกรรม

เกิดเป็นคนเพราะอะไร สายบุญสายกรรมไง เกิดจากพ่อจากแม่ไง เกิดกับพ่อแม่สิ่งใด ดีเอ็นเอ พันธุกรรมเปี๊ยบ แต่กรรมไม่ใช่ กรรมของใครของมัน สายบุญสายกรรมไง แต่สายบุญสายกรรม นี่ไง พอเกิดมาแล้วเป็นวิทยาศาสตร์เลยล่ะ เกิดเป็นมนุษย์แต่หาใจของตนไม่เจอ แล้วเวลามาศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็กลายเป็นเจ้าขุนทองบ่นพร่ำเพ้อ ออเซาะอยู่นั่นน่ะ

ขุนทอง บิน บิน เห็นไหม นกมันต้องบิน นี่ไง ทำสมาธิให้เป็นก่อน เพราะทำสมาธิไม่เป็น เห็นไหม

สมาธิจับ ทำสมาธิแล้วค้นคว้าหากิเลส เพราะเขาบอกว่ากิเลสเป็นนามธรรม จะเห็นมันได้อย่างไร

มันยืนยันได้ทั้งหมดในคำพูดนั้นน่ะ

๑. ทำสมาธิไม่เป็น เพราะสมาธิหลับตาลืมตามันไม่มี

๒. กิเลสเป็นนามธรรม จะไปเจอมันได้อย่างไร

นี่ไง แต่เวลาหลวงตาท่านสอนไง ทำความสงบของใจเข้ามา ใจสงบแล้วเป็นสัมมาสมาธิ สมาธิจับ จับอะไร จับอะไรล่ะ

ถ้าจับ เวลาจับ เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริงไง ถ้ามันจับได้ นู่น ฝึกหัดวิปัสสนามันจะเกิดข้างหน้านู่นนะ นี่ยังไม่ใช่ แค่จับ พอจับได้แล้วเดี๋ยวก็ผิดพลาด เดี๋ยวก็หลุดไม้หลุดมือไป

เวลาจับได้ เวลาคนไปเห็นกายนะ ตะลึงพรึงเพริด เวลาคนจับเวทนาไง ถ้าเวทนาเป็นเรานะ นั่งสมาธิไป เวทนาเป็นเรา เราเป็นเวทนา โอ๋ย! เจ็บปวดมาก แล้วพยายามสู้กัน ด้วยพุทโธบ้าง ด้วยปัญญาบ้าง มันปล่อยเวทนาได้ นั่นสมถะ

เวลาหลวงปู่เจี๊ยะเวลาท่านสอนกำหนดตามข้อ กำหนดบังคับให้นึกถึงข้อ ข้อนิ้ว ข้อมือ ข้อศอก หัวไหล่ วนอยู่อย่างนี้ ท่านบอกวนอยู่อย่างนี้ได้ ๒–๓ ชั่วโมง นั่นน่ะสมถะ

จิตสงบแล้วเป็นสัมมาสมาธิแล้วจับ ถ้ามันจับได้ ตรงจับได้นี่สำคัญมาก แล้วส่วนใหญ่จับไม่ได้ มันถึงว่าสำนักปฏิบัติทั่วๆ ไปเวลาพูดฟังออกหมดล่ะว่าได้แค่ไหน รู้แค่ไหน อยู่แค่ไหน

นกแร้งมันบินสูง นกเหยี่ยวบินเร็ว นกกระจอกมันบินหลบหลีก แล้วพวกนกที่มันหาแมลงเป็นอาหารล่ะ มันบินของมันน่ะ

นี่ไง เวลาขั้นของปัญญามันไม่มีขอบเขตหรอก หลวงตาจะบอกเลย สัมมาสมาธิน้ำล้นแก้ว สมาธิคือสมาธิ สมาธิแก้กิเลสไม่ได้ ไม่มีสมาธิจะไม่มีโลกุตตระ

โลกุตตระ ศีล สมาธิ ปัญญา

ความคิด เจ้าขุนทองที่พูดเป็นปัญญาๆ กันนั่นน่ะมันไม่มีสมาธิ มันเป็นโลกียะ ลืมตากันเก็บหญ้าถางหญ้า เขาบอกนั่นล่ะเป็นการวิปัสสนา วิปัสสนาแล้วได้มรรคได้ผลทั้งหมดเลย ผู้ที่มาปฏิบัติได้มรรคได้ผล จะสิ้นกิเลสไปทั้งสิ้นเลย สงสารชาวพุทธที่ไม่มาทำอย่างนี้

เจ้าขุนทอง บินเสียก่อน บิน หัดบิน

ถ้าบินได้ ทำสมาธิก่อน ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าไม่มีสมาธินะ มันจะเป็นโลกุตตระไปไม่ได้ โลกุตตรธรรมๆ เพราะเรายังหาใจของเรายังไม่เจอ เหตุที่การเกิด จิตปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิจิตเกิดในไข่ ในครรภ์ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะ

เทวดา อินทร์ พรหม โอปปาติกะที่มาฟังเทศน์ๆ เขาบอกว่ามันไม่มี วิญญาณมันไม่มี

วัฏฏะไม่มีหรือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ นี่ไง ๓ โลกธาตุ

เวลาหลวงตาท่านบอกเลย เวลาสิ้นกิเลสไปแล้วนะ หัวใจนี้ครอบ ๓ โลกธาตุ ใหญ่กว่า ๓ โลกธาตุ กว้างขวางกว่า ๓ โลกธาตุ ครอบ ๓ โลกธาตุ

นี่บอกไม่มี ไม่มีหรอก ไม่มี

เจ้าขุนทอง เจ้าขุนทองออเซาะฉอเลาะอยู่อย่างนั้นน่ะ เจ้าขุนทอง บิน บิน บินก่อน บินให้ได้

ถ้าบินขึ้นมา ทำความสงบของใจเข้ามา พอใจสงบระงับเข้ามา อจินไตย ๔ นะ พุทธวิสัย กรรม โลก ฌาน ความสงบ ฌานเป็นอจินไตย คำว่า “อจินไตย” มันเป็นได้หลากหลาย มันเป็นได้หลายวิธีการ แล้วมันเป็นไปโดยจริตนิสัย เป็นโดยอำนาจวาสนา เป็นโดยบุญโดยกรรมของคน มันมีที่มาที่ไปทั้งนั้นน่ะ

ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ใครสร้างเวรสร้างบุญมาขนาดไหนแตกต่างกัน คนเราเกิดมาไม่มีใครทำเวรทำกรรมมาเสมอกัน เหมือนกัน เท่ากัน ไม่มี ลายนิ้วมือของเราไม่เหมือนกันสักคนหนึ่ง เวรกรรม ลายพิมพ์ของจิตไม่มีการเหมือนกันสักคนหนึ่ง

แล้วเวลาลายพิมพ์ของจิต จิตที่มันจะเข้าไปหาสู่ตัวของมัน ถ้าจิตมันสงบระงับเข้ามา จิตสงบระงับเข้ามาเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามานะ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ เวลามันสงบเข้ามาสงบมากสงบน้อยขนาดไหน สงบมากสงบน้อยขนาดไหนมันก็เป็นน้ำหล่อเลี้ยงในนักปฏิบัติเรานี่ไง

นี่ไง ทุกข์ควรกำหนด ทุกข์ควรกำหนด แล้วเวลามันสุขล่ะ

เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ตรากตรำกันมีแต่ความทุกข์ความยากทั้งสิ้น แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเราพร้อมที่จะทุกข์ ทุกข์ขนาดไหนก็ได้ อยากจะเห็นหน้าทุกข์

เวลาธรรมะฟากตายๆ เวลามันเอาความตายมาเผชิญหน้าน่ะ อะไรจะตายก่อน ขอดู ใครตาย เวลาหลวงตาท่านพูด ความตาย อะไรตาย สุดท้ายแล้วกิเลสตาย

แต่เรากลัวตาย เราอยากจะมีชีวิตยืนยาว ยืนยาวไว้ทำไม ยืนยาวไว้ให้กิเลสมันหลอกใช่ไหม แต่ถ้าจะเอาจริงเอาจัง เผชิญหน้ากับมันในปัจจุบันนี้ สู้

นี่พูดถึงเวลามันทุกข์มันยากไง เวลามันทุกข์มันยากนะ ถ้าใครมีสติปัญญา เวลาสติปัญญา หลวงตาท่านชมมาก ใครคิดเป็น ใครปลุกปลอบใจตัวเองเป็น นั่นจะเลี้ยงตัวเองได้

ถ้าเราปลุกปลอบใจของเราไม่ได้ เราต้องอาศัยครูบาอาจารย์เป็นผู้ให้น้ำเลี้ยง ครูบาอาจารย์ พ่อแม่คอยดูแลไง แม่นกมันต้องหาเหยื่อป้อนๆๆ ไอ้ลูกมันไม่ป้อน เดี๋ยวลูกมันตาย

นี่ไง อยู่กับครูบาอาจารย์ อาศัยครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่งที่อาศัย แต่ถ้ามันคิดได้เองๆ มันจะโตขึ้นเรื่อยๆ ไง ถ้าโตขึ้นเรื่อยๆ เวลาภาวนาขึ้นมา เพราะอะไร เพราะเวลาภาวนามันจะเป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก รู้เฉพาะใจดวงนั้นนะ

หาใจดวงนั้นก่อน หาใจดวงนั้น หาใจดวงนั้นไม่ต้องไปหาที่โลกธาตุไหน พระกรรมฐานเวลาเข้าป่าเข้าเขาไป เขาธุดงค์ไป เขาก็ไปหาหัวใจนี้

แล้วเวลาหาหัวใจ คนที่ทำความสงบของใจได้ ถ้าเคยได้สภาพสิ่งใด เขาจะไปหาสภาพแวดล้อมอย่างนั้น ถ้าสภาพแวดล้อมอย่างนั้นมันทำให้สงบได้ ทำความสงบเข้ามา ถ้าจิตมันสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา ตรงยกขึ้นวิปัสสนา ตรงยกขึ้นสู่วิปัสสนานั่นน่ะมันจะไปโลกุตตรปัญญา โลกุตตรปัญญาไปอยู่ตรงนั้น ไม่ใช่โลกียะ โลกุตตระโดยที่พร่ำเพ้อ

โลกียะ โลกุตตระมันเกิดจากสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิมันเป็นสากล มันเป็นเรื่องของจิตใจของมนุษย์ จิตใจของเทวดา อินทร์ พรหม จิตใจของสิ่งที่มีชีวิตน่ะ

ส่วนฤๅษีชีไพรนั้นเขาทำสมาธิของเขานั้น เขาทำฌานโลกีย์นั้นเขาทำเพื่ออภิญญา เพราะด้วยวุฒิภาวะ ด้วยวาสนาของเขา เขาทำสมาธิเพื่อสมาธิไง ฤๅษีชีไพรเขาทำสมาธิเพื่อสมาธิ เขาทำสมาธิเพื่อความสงบระงับของเขา มันจะเป็นสัมมาเป็นมิจฉา เขาทำแค่นั้นพอ

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาทำศีล สมาธิ ปัญญา ต้องการความสงบของใจ

เขาบอกว่าต้องเป็นฌานๆ

สมาบัติ ๖ สมาบัติ ๘ ฌาน ครูบาอาจารย์เราทำเล่นทั้งนั้นน่ะ หลวงปู่ขาว ครูบาอาจารย์ เรื่องนี้เรื่องปกติ เรื่องทำได้ทั้งนั้น ทำได้ทั้งสิ้น

แต่มันการเข้าการออก ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน อากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ อากิญจัญยายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ เวลาจะเข้าจะออก

คำว่า “สมาบัติ ๘” สมาบัติ ๘ คือมันไม่เท่ากัน พอมันไม่เท่ากัน มันมี ๑ มี ๒ มี ๓ มี ๔ การได้มี ๑ มี ๒ มี ๓ มี ๔ มีการเคลื่อนไหว การเคลื่อนไหวจาก ๑ ไป ๒ จาก ๒ ไป ๓ จาก ๓ ไป ๔ พอไป ๔ ขึ้นมาแล้วมันก็ขึ้นสู่อากาสานัญจายตนะ มันมีการเคลื่อนไหวๆ เคลื่อนไหวแล้วมันได้อะไร เคลื่อนไหวมันได้กำลัง เห็นไหม

ดูมอเตอร์สิ มอเตอร์มันหมุนขึ้นมา มอเตอร์กับแม่เหล็กเวลามันหมุน มันมีการเสียดสีกัน เกิดพลังงานไฟฟ้า นี่ก็เหมือนกัน เวลาเข้า จิตมันเข้า เข้าจาก ๑–๒–๓–๔ แล้วก็อากาสานัญจายตนะ เข้าออกๆ มันก็เกิดอภิญญา

โธ่! ฌานอะไรของมึง พระพุทธเจ้าถึงไม่เอาไง พระพุทธเจ้าก็ไปปฏิบัติมากับอุทกดาบส อาฬารดาบส สมาบัติ ๖ สมาบัติ ๘ แล้วเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมาประพฤติปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา

สมาธิๆๆ สมาธิก็เป็นสมาธิไง ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ มันเติบโต จากขณิกะมันมีกำลังมากขึ้น จากกำลังมากขึ้น ถ้าทำสูงขึ้นๆ มันก็จะเป็นอัปปนาสมาธิ อัปปนาสมาธิสักแต่ว่า

นี่เขาบอกว่า “แยกกายแยกจิต แยกกายแยกจิต”

อัปปนาสมาธิมันแยก คนภาวนาไม่เป็นพูดไม่ได้ แล้วพูดออกมาตำรวจจับนะ อัยการส่งฟ้องทันทีเลยล่ะ เพราะมันพูดผิดไง คนพูดเรื่องฌานๆ ถ้ามันไม่เป็นมันพูดมา หลักฐานคำพูดมันฟ้องหมดล่ะ แล้วมันทิ้งหลักฐานไว้โดยที่มันยังไม่รู้นะ อาชญากรรมมันทำแล้วบอกว่าตำรวจจับไม่ได้ ไม่มีใครรู้เท่า ละเอียดรอบคอบ แต่มันทิ้งหลักฐานไว้เต็มเลย “นี่เป็นฌาน”

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศีล สมาธิ ปัญญา เพราะฌานคือการเคลื่อนไหว ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน การเคลื่อนไหว

เขาบอกการเคลื่อนไหวนี้มันมีจรณะ ๑๕ นะ มันมีความรู้ๆ

นั่นคือพลัง มันเคลื่อนไหวน่ะกำลังของมัน แล้วมันเป็นอภิญญา มันส่งออกไป นี่ถึงบอกว่าฤๅษีชีไพรเขาทำสมาธิเพื่อสมาธิ เรื่องฌานสมาบัติก็เรื่องฌานสมาบัติ

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทำเพื่อมรรค เพื่อมรรคเพื่อการรู้เท่าทันตนเอง รู้เท่าทันตนเอง มันจะเกิดศีล ศีลคือความปกติของใจ ศีลคือไม่มุสา ศีลคือพูดความจริง ศีลคือไม่เจ้าขุนทองๆ เจ้าขุนทองออเซาะฉอเลาะไง ถ้ามันมีศีลมันจะรู้เลยว่าวันนี้โกหกไปกี่เรื่อง วันนี้พูดไปแล้วจริงหรือไม่จริง นี่ขุนทองไง บินเถอะ บิน

ถ้ามันศีล สมาธิ ปัญญาไง ถ้ามันมีศีล ศีลคือความปกติของใจ แต่ถ้าทำสมาธิขึ้นมา สมาธิหลับตาลืมตาอย่างไร สมาธิที่เราทำกันอยู่นี่ถ้ามันผิดมันพลาด มันผิดมันพลาดคือประสบการณ์ของคน คนทำงานต้องผิดพลาดทุกคน เพราะเราจะหาความจริง

ปลูกต้นไม้ รดน้ำพรวนดินที่โคน ผลมันออกที่ปลาย

ทำไมรดน้ำที่โคนน่ะ ทำไมผลมันไปออกที่ปลาย ดอกไม้ ผลไม้ มันไปออกบนต้นนู่นน่ะ

นี่ก็เหมือนกัน เราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธของเรานี่ไง รดที่โคน ออกที่ปลาย ไม่หลับตาลืมตาอะไรกับเอ็ง หลับตาลืมตามาจากไหน มันไม่เกี่ยวเลยที่หลับตาลืมตา

สมาธิคือสมาธิไง สัมมาสมาธิก็คือสัมมาสมาธิไง ถ้าจิตมันสงบแล้ว สมาธิจับ เดี๋ยวโลกุตตระมันจะมาถ้าทำถูกต้อง เป็นสัมมาทิฏฐิถูกต้องดีงามมันจะเป็นโลกุตตรธรรม เพราะเราแสวงหาโลกุตตรธรรม

เราเกิดมา เราเกิดมาในโลกเป็นโลกียธรรมทั้งสิ้น แต่โลกียธรรมมันจะสงบลงได้ด้วยสัมมาสมาธิ แต่สมาธิเขาบอกว่าสมาธิที่ลืมตาๆ อันนั้นมันสงบระงับอะไรเข้ามา มันเป็นเรื่องโลกๆ มันเป็นเรื่องของจินตนาการ จินตนาการว่าฉันมี ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ ๑๒ ๑๓ ๑๔ ๑๕ ๒๐ มันจะเป็นสมาธิตรงไหนล่ะ มันห่วงว่ามันจะไม่ครบไง มันห่วงว่าจิตมันจะไม่สว่างโพลง มันไม่รู้แจ้งไง แล้วมันจะเป็นกำลัง มันสมาธิจริงสมาธิปลอมนั่นน่ะ

ถ้าสมาธิจริงๆ สมาธิคือสมาธิ ด้วยสติสัมปชัญญะ มีสติคือสติ สติ สมาธิ สมาธิคือจิตสงบระงับ โดยสติเราสมบูรณ์แบบของเรา เรามีหิริมีโอตตัปปะ มีความเกรงกลัวว่ามันจะเสื่อม มีความละอายใจ ละอายใจว่ามันจะเป็นจริงหรือมันจะเป็นความจอมปลอม

สมาธิคือสมาธิ แล้วสมาธิแล้วฝึกหัดให้มันมีกำลัง พอมีกำลังขึ้นมาแล้วน้อมไปสู่จะยกขึ้นสู่ปัญญา ขั้นของปัญญาไม่มีขอบเขต

นกแร้งมันบินสูงนะ มันมองได้กว้างไกล มันหาเหยื่อของมันได้ ถ้าขั้นของปัญญามันจะมีสติปัญญาที่กว้างไกลที่จะแสวงหา ถ้ามันหาจิตมันเจอ

ถ้าหาจิตไม่เจอเป็นสัญญา เป็นความจำ เป็นนกขุนทองท่องอยู่อย่างนั้นน่ะ แล้วขยายความไปขยายความมา ใครๆ ก็ขยายได้ แต่เขาไม่ขยาย เขารู้ว่ามันเป็นการเพ้อเจ้อ มันเป็นการเพ้อเจ้อ

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพ้อเจ้อได้อย่างไร

ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาศึกษามาแล้วให้มาปฏิบัติ เขาไม่ได้ศึกษามาเป็นเจ้าขุนทอง

ศึกษามาแล้วมันเพ้อเจ้อตรงไหน จะบอกเพ้อเจ้อ

บอก โอ๋ย! นี่ดูแคลนธรรมะพระพุทธเจ้า

ไม่ดูแคลน ธรรมะพระพุทธเจ้า ภาคปริยัติเป็นภาคปริยัติ เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติมันจะเป็นของเราไง มันจะเป็นสันทิฏฐิโก มันรู้เฉพาะตน ถ้ามันรู้จริงขึ้นมานะ โอ้โฮ! เศร้านะ ครูบาอาจารย์ของเราที่ท่านประพฤติปฏิบัติ ทำไมเราโง่อย่างนี้ ทำไมเราโง่อย่างนี้ เวลามันไปเห็นจริงน่ะ เวลาไปเห็นจริงมันจะบอกเลยว่า ทำไมเราโง่อย่างนี้ แต่ถ้าเป็นปัจจุบันนะ เราฉลาด กิเลสมันพาฉลาดนะ พาฉลาดพาเข้ารกเข้าพง

สัญญา นั่นเป็นสมบัติของพระพุทธเจ้า ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษามา ศึกษามาแล้วให้วางไว้ วางไว้แล้วให้ประพฤติปฏิบัติเป็นสมบัติของเรา แล้วถ้าเป็นสมบัติของเรานะ มันออกมาจากใจ ไม่ต้องใช้สมุด ไม่ต้องใช้ดินสอ ไม่ต้องคอยใช้จอคอมพิวเตอร์คอยชี้อยู่อย่างนั้นน่ะ เพราะเดี๋ยวมันลืมไง มันลืมแล้วมันขยาย ๑๕ ๑๖ ๒๐ ๓๐ อยู่นั่น นั่นสัญญาทั้งนั้น ตลก เด็กเล่นขายของ มันเป็นเรื่องโลกๆ

แต่เวลาศึกษาธรรมะภาคปริยัติ ปริยัติ ปฏิบัติ เวลาศึกษามาเป็นปริยัติ เวลาจะปฏิบัติๆ วาง

หลวงปู่มั่นท่านสอนหลวงตาไง “มหา การเรียนเป็นถึงมหามานี่นะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสูงสุดยอดเลยนะ เทิดใส่ศีรษะไว้ในลิ้นชักสมองแล้วล็อกมันไว้ อย่าให้มันออกมา แล้วปฏิบัติไปเถอะ”

ถ้าปฏิบัติไปพร้อมกัน คนที่ปฏิบัติไปพร้อมกัน เรารู้ทุกเรื่องเลย แล้วเราทำขึ้นไม่เป็นความจริง มันไม่เป็นความจริงสักเรื่องหนึ่งเลย เพราะไอ้รู้ทุกเรื่องนั่นน่ะมันคอยวาดภาพ คอยสร้างภาพ คอยทำให้มันเป็นไป มันเป็นการบั่นทอนความเพียรของเรา มันเป็นการบั่นทอนกำลังของเรา มันเป็นการบั่นทอนเราทั้งนั้นเลยโดยที่เราไม่รู้ ไม่รู้ตัวนะน่ะ

แต่เวลาหลวงปู่มั่นท่านสอนไง ให้วางไว้ก่อน แล้วเราประพฤติปฏิบัติไป

เวลาหลวงตาท่านพูด เวลาประพฤติปฏิบัติไปตามความเป็นจริง เวลามันเป็นจริงขึ้นมานะ อ๋อ! อันเดียวกันจริงๆ ท่านพูดประจำ สมกับที่หลวงปู่มั่นพูดทุกเรื่องเลย เพราะหลวงปู่มั่นท่านสมบุกสมบันมาก่อนไง

เราที่มีครูบาอาจารย์ที่สมบุกสมบันมา มันจะผิดมันจะถูกไม่สำคัญ ไม่สำคัญตอนปฏิบัตินี้นะ บอกไม่สำคัญ ผิดก็ได้...ไม่ใช่

คำว่า “ไม่สำคัญ” คือให้เรามีประสบการณ์ไง ถ้าเราไม่ปฏิบัติเราจะรู้อะไร ถ้าเราไม่ค้นคว้าเราจะรู้หรือ ถ้าเราไม่ทำเราจะเป็นหรือ

เราจะเป็นน่ะ เราจะทำให้ได้ เราจะทำให้ได้มันก็ไปจากเรานี่แหละ

หลวงตาท่านสอนไง การปฏิบัติที่ยาก ยากอยู่คราวหนึ่งคือคราวเริ่มต้นนี่

คราวเริ่มต้น คนทำงานไม่เป็นน่ะ คนเก่งกาจมาก มีความสามารถทำสิ่งใดประสบความสำเร็จทุกเรื่องทางโลก เวลามาปฏิบัติธรรมไม่ได้อะไรสักเรื่องเลย

เราไม่อยากเอ่ยชื่อ หลวงตาท่านพูดประจำ เป็นศาสตราจารย์ใหญ่มาก รู้ไปทุกเรื่องเลย เวลามาปฏิบัติ ท่านพูดเลย ทำไม่ได้ ทำไม่ได้

เขาก็อยากได้นั่นแหละ แต่ความรู้อันนั้นน่ะ ความรู้ในใจของเขานั่นแหละ มันรู้ไปก่อนไง แล้วปฏิบัติให้ใจมันเป็นจริงขึ้นมามันเป็นไปไม่ได้ไง

ในวงกรรมฐานเขาเห็นมามากมายมหาศาล เขาถึงบอกว่านี่คือสัญญา ถ้าเอาแล้วมันจะเตะมันจะถีบกันอย่างนี้ เตะถีบจนไม่มีจุดยืน เตะถีบจนการทำของตนไม่สมความปรารถนาของตน เตะถีบจนตัวเองล้มเหลวไปน่ะ ล้มไปแล้วนั่นก็วาสนาของเขา แต่ถ้าเราเห็นอย่างนั้นแล้วเป็นกรณีศึกษา แล้วเวลาเราจะทำของเรา ทำให้มันเป็นจริงขึ้นมา

สิ่งที่มีการศึกษา เราศึกษามาทั้งสิ้น ใครๆ ก็มีปัญญาทั้งสิ้น ใครจะหลอกใคร

การประพฤติปฏิบัติ บุคคล ๔ คู่ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล

เวลาหลวงตาท่านไปคุยกับหลวงตาบัว

อ้าว! ว่ามาสิ ๑ ๒ ๓ ๔

๑ ๒ ๓

อ้าว! ไปอีกสิ

เอ๊อะๆๆ

ธมฺมสากจฺฉา ในวงกรรมฐาน วงครูบาอาจารย์เรามันมี ความจริงเป็นความจริงวันยังค่ำ ทีนี้ความจริงเป็นความจริงวันยังค่ำ บุคคล ๔ คู่นะ

ไอ้นี่แค่สมาธิหลับตาลืมตา มันเป็นเบสิกเป็นพื้นฐานในการปฏิบัติ เบสิกพื้นฐานมันเป็นไปไม่ได้แล้วมันจะไปไหน มันเป็นไปได้อย่างไร ต้นคด ต้นแหลกเหลว ต้นล้มเหลว มันจะไปไหน ปลูกต้นไม้เอาปลายมันปักลงดิน แล้วเอารากมันลอยฟ้าไว้ รดน้ำมันจะขึ้นหรือ มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นไปไม่ได้ แต่ก็เป็นปัญหาสังคมไง ที่เขาเชื่อ เขาเชื่อของเขาไป

ถ้าเขาไม่มาวุ่นวายกับกรรมฐาน เราไม่สนใจเลยนะ เรื่องนี้เห็นมานานแล้ว รู้มาตั้งแต่ใหม่ๆ นู่นน่ะ เห็นหมดล่ะ แต่มันเรื่องของเขา กรรมของสัตว์

เจ้าขุนทองจะติดในทิฏฐิมานะของตนอย่างไรก็เรื่องของเจ้าขุนทอง เจ้าขุนทองมาหลับตาลืมตา มาจิกมาตีเขามันมีประโยชน์อะไร นี่มันเรื่องของเจ้าขุนทอง

แต่ของเรา เราจะเป็นสิ่งใด เราจะเป็นกระจิบกระจอก เราจะเป็นนกสิ่งใดเราก็เป็นนก เราก็บินของเราได้ เราก็มีความสามารถที่จะหาอาหารได้ เราจะเลี้ยงชีพของเราได้ ให้เป็นอิสระได้ นี่ถ้าการประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงไง

ถ้าการประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงของเรา เราจะย้อนกลับมาที่เรานี้ เรื่องของสังคมเป็นเรื่องของสังคม เรื่องของโลกเป็นเรื่องของโลก เรื่องความจริงขึ้นมา ในใจเรามีโลกกับธรรม

โลกคือความคิดฟุ้งซ่านอยู่นี้ โลกคือการศึกษามาแล้วเป็นแนวทางที่เราจะเข้าไปสู่สัจจะความจริง เข้าสู่ธรรมในใจของเรา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัญญาที่ทวนกระแสกลับเกิดจากภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการภาวนา

การศึกษานั้นวางไว้ การศึกษานั้นเป็นสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นธรรมวินัยเป็นศาสดา ไม่ใช่ของเรา แต่ศึกษาไว้เป็นการทดสอบตรวจสอบในการประพฤติปฏิบัติของเราว่ามันเป็นจริงหรือมันไม่เป็นจริง

ถ้ามันเป็นจริงๆ มันสงสัย มันดีวันสองวันเท่านั้นน่ะ แล้วพอเราละเอียดรอบคอบขึ้นไปเดี๋ยวก็เห็น เวลากิเลสมันมีนะ หลวงตาท่านเน้นย้ำเลย กิเลสในใจพวกเรามีไม่มี

มี มีเพราะอะไร มีเพราะเกิดนี่ไง คนเกิดน่ะกิเลสทั้งนั้นน่ะ คนไม่มีกิเลสมาเกิดไม่ได้

แต่เขาบอกเขาไม่มีกิเลส เขาเกิดมาจากอริยบุคคล

คนไม่มีกิเลสเกิดไม่ได้ ฉะนั้น เรามีกิเลสทุกคน ถ้าเรามีกิเลสกันทุกคน กิเลสในใจของเรานั่นน่ะมันอยู่ที่ว่าอำนาจวาสนานะ ถึงจะมีกิเลสแต่ก็มีศรัทธามีความเชื่อ มีศรัทธามีความเชื่อ เพราะมีศรัทธามีการเชื่อเป็นการจุดประกาย ถ้าไม่มีศรัทธาไม่มีความเชื่อมันจะไม่จุดประกาย

ในทางโลกเขาพูด เขาสุข เขามีความสุขมีความรื่นเริงทางโลก ทำไมเขาต้องมาตรากมาตรำมาวัดมาวา เขาพูดกันอย่างนั้นนะ

เราบอกว่า เออ! ไอ้นั่นทัศนคติของเขา แต่ถ้าเป็นของเรา นี่นักรบ

หลวงตาท่านสอนประจำ นี่นักรบ รบกับใคร รบกับกิเลสของตนไง

เราเกิดมาชาตินี้เรามีโอกาส เรามีโอกาสได้ประพฤติปฏิบัติ ได้ค้นคว้า ได้แสวงหา ได้รบกับกิเลสของเรา ถ้าเราได้รบกับกิเลสของเรา ถ้าเรามีความสามารถที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจนเป็นธรรม ธรรมกับกิเลส เห็นไหม สงครามธาตุ สงครามขันธ์ สงครามระหว่างธรรมกับกิเลส มันจะวิปัสสนา

เวลายกขึ้นสู่วิปัสสนา โลกุตตระๆ ที่มันพูดกันอยู่นี่ เวลาปัญญามันเกิด ปัญญามันเกิดมันต้องจับได้นะ จับกิเลสไง สมาธิจับ แล้วฝึกหัดใช้ปัญญา ปัญญามันจะตัด ทำลาย ทำลายกิเลสตัณหาความทะยานอยาก

แล้วถ้าปัญญามันตัด มันตัดด้วยอะไร

เวลาธัมมจักฯ ไง เทฺวเม ภิกฺขเว ทางสองส่วนที่ไม่ควรเสพ ทางสายกลาง ความสมดุลพอดี มัชฌิมาปฏิปทา ดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ มรรค ๘ ดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ ความสมดุลพอดีของมรรค ๘ ก็อยู่ที่การประพฤติปฏิบัตินี้ไง

ทำสมาธิยังเกือบเป็นเกือบตาย สมาธิก็เป็นองค์หนึ่งในมรรค ๘ ถ้าทำสมาธิขึ้นมา สมาธิมีคุณสมบัติที่ทำให้เราพ้นจากความคิดแบบโลกๆ

พ้นความคิดแบบโลกๆ คือการศึกษาแบบนกแก้วนกขุนทองแล้วก็เอามาขยายความ นั่นนกแก้วนกขุนทอง นั่นเป็นสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สาธุ ธรรมและวินัยเป็นศาสดาของเรา แต่นั่นเป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันต้องเกิดเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา ถ้ามีสติก็ต้องเป็นชื่อสติกับตัวสติ สมาธิ ชื่อสมาธิกับตัวสมาธิ สมาธิหลับตาสมาธิลืมตาก็เป็นชื่อ แต่สมาธิจริงๆ มันอยู่กับเรา ถ้าเราทำเป็นจริงขึ้นมา เห็นไหม

ถ้าทำความสงบของใจเข้ามา เอาสัจจะเอาความจริงขึ้นมา ถ้าเอาสัจจะความจริงขึ้นมาในใจของเราขึ้นมาแล้ว แล้วพยายามฝึกหัดดูแลไง เพราะอะไร เพราะสมาธิมันมีเจริญแล้วเสื่อม เพราะอะไร

เพราะปกติเราเป็นปุถุชนคนหนา เวลาเราทำสมาธิขึ้นมาได้ พอเป็นสมาธิขึ้นมามันสุข มันสงบ มันระงับ นี่สมาธิเกิดกับเราเพราะเราฝึกหัด เราฝึกฝน เรามีเหตุ เราสร้างสติ เรามีคำบริกรรม เรามีการตรวจสอบ เรามีการรักษา มันทำรักษาขึ้นมามันก็สงบระงับขึ้นมาได้ แล้วถ้าเรารักษาไม่ดีมันก็เสื่อม ถ้ารักษาไม่ดีมันเสื่อม เราก็พยายามทำของเราให้มันดีขึ้นมา

การที่ว่าทำไม่ได้ หลับตาทำไม่ได้ หลับตาแล้วมันจะเห็นนิมิต หลับตาแล้วมันจะไปรู้ไปเห็น

นั่นก็เป็นจริตนิสัยของคน คนที่มันรู้มันเห็น คนที่สร้างอำนาจวาสนามาอย่างนี้ ถ้ามันเป็นสมาธิมันต้องผ่าน ผ่านจากจริตผ่านจากนิสัย โทษนะ ผ่านจากเวรจากกรรมที่เราสร้างมานั่นน่ะ ใครสร้างเวรสร้างกรรมมาอย่างไร นั่นน่ะตัวกีดตัวขวาง กิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของสัตว์โลกมันเป็นตัวกีดตัวขวางที่ใจจะเป็นธรรม แล้วคนที่มันสร้างเวรสร้างกรรมมา เวรกรรมมันเป็นตัวกีดตัวขวาง

แล้วทำอย่างไรล่ะ ไม่ทำใช่ไหม จะกลับไปเป็นนกขุนทอง เจ้าขุนทองจะไปออเซาะ จะไปตีปีกอยู่ในกรงทองนั่นน่ะ เจ้าขุนทองนะ

เราจะทำของเรา เราจะผ่านจริตนิสัย ผ่านการกระทำขึ้นมา เราฝึกหัดของเราทำต่อเนื่องไป ถ้ามันทำได้มันจะสงบระงับเข้าไปบ่อยครั้งเข้าๆ ถ้าสงบระงับแล้วฝึกหัดน้อมไปให้เห็นกาย

น้อมไป เห็นไหม ถ้าคนชอบทางเรื่องเวทนา คนชอบเรื่องทางจิต คนชอบเรื่องทางธรรม พิจารณากายโดยไม่เห็นกาย พิจารณากายโดยการเปรียบเทียบ ถ้ามันจับได้มันรู้ ถ้าจับได้ ศีล สมาธิ ถ้าเกิดปัญญา เกิดปัญญาคือปัญญาอันนี้เกิดจากการภาวนา

กรรมฐานเรานะ มีหลวงปู่หล้าที่มาจากเมืองลาว มาเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น ไม่รู้หนังสือเลย เวลาภาวนามยปัญญาขึ้นมา เกิดบาลีขึ้นมานะ ท่องปาฏิโมกข์ได้ หลวงปู่หล้าลาวนะ

มันมีหลวงปู่หล้า ๓ หล้า หลวงปู่หล้าที่มาจากลาวนั่นน่ะไม่ได้หนังสือ เวลาจิตสงบหนังสือมาเลย ท่องปาฏิโมกข์ได้หมด นี่ไง ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการภาวนา

ไอ้เราเรียนหนังสือเกือบเป็นเกือบตายกว่าจะรู้หนังสือ ได้หนังสือแล้วต้องเรียนให้สูงขึ้น

นี่เกิดจากการภาวนาไง ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา มันอยู่ที่วาสนาของท่าน

เวลาหลวงปู่มั่นท่านพูด เวลาบาลีมันเกิด ธรรมมันเกิด เกิดเป็นภาษาบาลี หลวงปู่จวนเวลาธรรมเกิด เกิดเป็นภาษาบาลี ผู้ที่เกิดเป็นภาษาบาลีพวกนี้จะมีฤทธิ์

เวลาหลวงตาท่านพูดเลย เราเกิดเป็นภาษาไทย หลวงตาท่านพูดนะ ของเรา เราเกิดเป็นภาษาไทย

เวลาธรรมมันผุด คนภาวนาเป็นมันจะรู้นะ ธรรมผุดๆ ธรรมผุดคือความรู้สึกมันเกิดขึ้น เป็นคำพูดเลย ธรรมผุดไม่ใช่มรรค มันผุด มันผุดคือมันไม่ใช่การกระทำของเรา มันไม่ใช่หยาดเหงื่อแรงงาน ไม่ใช่เกิดจากสติ สมาธิ ปัญญาที่เราฝึกหัดขึ้นมาเราควบคุมได้

ธรรมมันผุด ผุดแล้วมันเกิดธรรมสังเวชนะ เวลาครูบาอาจารย์ที่ภาวนา เวลามันเกิด ใครเกิด เกิดอย่างไร มันรู้ของมันทั้งนั้นน่ะ นี่ไง วงกรรมฐานไง เขาไม่ใช่นกขุนทอง เจ้าขุนทองมีแต่ออเซาะฉอเลาะอยู่นั่นน่ะ มันไม่มีอยู่จริง

ถ้ามีอยู่จริง ถ้าธรรมมันผุดมันเป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ ธรรมผุดมันเป็นคติธรรม มีคนเขียนมาถามปัญหาเรื่องนี้เยอะมาก เพราะอะไร เรารู้ว่าคนที่ประพฤติปฏิบัติมันจะมีอุปสรรคไปทั้งนั้น เหมือนเช่นเราจะทำสวนครัวเพื่อจะปลูกผัก มันต้องขุดดิน ต้องถากหญ้า ขุดดิน พรวนดิน พรวนดินเสร็จแล้วต้องมีเมล็ดพืช มันจะเกิดไอ้นู่น เขาจะเขียนมาถาม

ไอ้เวลาถามๆ มานี่มันเรื่องหญ้าปากคอกฝึกหัดใหม่ๆ ทั้งนั้นน่ะ มันจะเอาหลักเอาฐานมาจากไหน แต่เราก็ตอบ

โอ้โฮ! ถ้ามันเป็นความจริงนะ ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก รู้จำเพาะตน รู้กลางหัวใจ รู้ชัดๆ แล้วเวลารู้ สมุจเฉทปหาน เวลามันขาดดั่งแขนขาด

เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลากิเลสขาดไง ตัดแขนทิ้ง คนเราตัดแขนตัดขารู้สึกตัวไหม มันจะมาพูดเล่นกันอยู่หรือ มันจะเพ้อเจ้อใช่ไหม นกขุนทอง บรรลุธรรม นกขุนทอง

แต่เวลาสมุจเฉทปหาน เวลาสังโยชน์มันขาดดั่งแขนขาด กิเลสมันขาดไปจากหัวใจ บุคคล ๔ คู่ ขาดมากขาดน้อยอย่างไร ถ้าขาดสมบูรณ์แบบ พระอรหันต์เวลากิเลสขาด

แล้วเวลากิเลสขาดไปแล้วเป็นพระอรหันต์กลับมาเกิดได้ไหม

พระอรหันต์กลับมาเกิดไม่ได้หรอก แต่เขาบอกว่าพระอรหันต์ของเขาจะเกิดก็ได้ ไม่เกิดก็ได้ จะเกิดกี่ชาติก็ได้ ไม่เกิดก็ได้

อู้ฮู้! นิยายธรรมะ เจ้าขุนทอง มันเรื่องของเจ้าขุนทอง มันเป็นสังคมของเขา

แต่ถ้าเรามีความเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนา เราสร้างคุณงามความดีของเรานะ เราทำได้มากได้น้อยแค่ไหน เราจะประพฤติปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

การประพฤติปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนนักมวย นักมวยเวลาเขาจะชก เขาบอกเลย เขาจะซ้อม ๑๐๐ ยก คราวนี้ชนะเลยเพราะซ้อม ๑๒๕ ยก แม้แต่เขาซ้อม ๑๐๐ ยก ซ้อม ๑๒๕ ยก เพราะอะไร เพราะการฝึกซ้อมที่มามั่นคงของเขา เขามั่นใจของเขา เขาสมบูรณ์แบบของเขา นั่นนักมวย

แต่เรามันนักปฏิบัติ เราจะปฏิบัติมากน้อยแค่ไหน มันจะตกผลึกลงไปในใจของคน

การทำทานร้อยหนพันหนไม่เท่ากับถือศีลบริสุทธิ์หนหนึ่ง

ถือศีลบริสุทธิ์ร้อยหนพันหนไม่เท่ากับทำสมาธิได้หนหนึ่ง

ทำสมาธิได้ร้อยหนพันหนไม่เท่ากับเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นหนหนึ่ง

เห็นไหม ทำสมาธิถึงร้อยหนพันหนนะ ถ้าเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมาดีกว่าเป็นพันครั้ง แต่เพราะอะไร เพราะมันทำได้ยากไง

แล้วถ้าเราทำกันอยู่นี่ เราประพฤติปฏิบัติอยู่นี่ เราลงทุนลงแรงไปขนาดไหน นั้นน่ะคือจริตนิสัยที่จะฝังไปกับใจของตน

เวลาเราเกิดมา เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติ เราจะต้องผ่านเวรผ่านกรรมของเรา สิ่งที่สร้างมาเป็นจริตนิสัย เห็นนิมิตรู้นั่นรู้นี่ส่งออกนอกต่างๆ มันเป็นจริตนิสัย อย่างเช่น ถ้าเป็นเรา เป็นเจ้าโทสะ มันโกรธๆๆ โกรธอยู่อย่างนั้นน่ะ กว่าจะทำสมาธิได้เกือบตาย แล้วทีนี้คนไม่เหมือนกันไง ผู้หลงใหลได้ง่าย ผู้พร่ำเพ้อ แล้วกว่ามันจะลงสมาธิล่ะ นี่จริตนิสัย

แล้วถ้าเราปฏิบัติอยู่นี่มันก็ลงสู่ใจของเราเป็นจริตเป็นนิสัย ฝึกหัดของเราไป ประพฤติปฏิบัติของเราไป เราจะไปน้อยเนื้อต่ำใจเรื่องอะไร

กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน เราสร้างมาเองทั้งนั้นนะ เราทำมาเองทั้งนั้นถึงเป็นความรู้สึกนึกคิดของเราอยู่นี่ ความรู้สึกนึกคิดของเราอยู่นี่ เราเคยสร้างมา เราเคยทำมา มันเลยเป็นดีเอ็นเออย่างนี้ไง พันธุกรรมของจิตไง จิตมันเป็นอย่างนี้ไง แล้วจะไปน้อยเนื้อต่ำใจกับอะไร ก็เราทำมากันทั้งนั้นน่ะ ฉะนั้น เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาก็เพื่อคุณธรรมอันนี้ ให้จิตใจของเรามีหลักมีเกณฑ์

ในการปฏิบัติมันดีอย่างหนึ่ง มันดีอย่างหนึ่ง เรายังมีสติปัญญาสามารถแยกแยะได้ เราพอใจของคนนะ รู้จักผิดชอบชั่วดี ผิดก็รู้ว่าผิด ถูกก็รู้ว่าถูก ชั่วก็รู้ว่าชั่ว ดีก็รู้ว่าดี เรารู้จักแยกจักแยะ เราเป็นคนดีคนหนึ่ง แล้วเราทำของเราได้

แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันไม่มีใครทำให้เราหรอก เวลาเราทำความเป็นจริงขึ้นมามันจะเกิดในใจของเรา มันเป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก สันทิฏฐิโก สันทิฏฐิโก รู้ภายในใจของตน นี่ไง กาลามสูตรไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้น เชื่อผลการประพฤติปฏิบัตินั้น แล้วถ้ามันเป็นจริงไม่เป็นจริง ตรวจสอบได้ เทียบกับคำพูดเรานี่ เทียบเลย มันเป็นอย่างไร มันเป็นจริงหรือไม่

ถ้ามันเป็นจริง ความจริงมีหนึ่งเดียว อริยสัจมีหนึ่งเดียว

ทุกข์ สมุทัย นี่คือกิเลส

นิโรธ มรรค นี่คือธรรม

จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ อย่างอื่นไม่มี

ทุกข์เป็นสัจจะเป็นความจริง สมุทัยคือกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ตัณหาความทะยานอยาก นี่เรื่องของกิเลส

นิโรธคือดับทุกข์ ดับทุกข์ ดับทุกข์ ดับทุกข์ด้วยมรรค

จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ

มึงจะเอามาจากไหน เอาอะไรมาพูด อริยสัจไม่รู้จัก นิโรธไม่มี แล้วมันจะเป็นอริยสัจจากตรงไหน

อริยสัจเป็นแก่นของศาสนา เป็นแก่นของพุทธะ เป็นแก่นที่เราปฏิบัติ ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา เราก็ทำเพื่อเรานี่ไง

ฉะนั้น เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เรามีกำลังใจ อย่างน้อยแม่นกก็เลี้ยงลูกนก จะเป็นนกแร้ง นกเหยี่ยว นกอินทรีย์ นกกระจอก มันก็เลี้ยงลูกของมัน ฝึกหัดให้บินๆ เราก็พยายามจะฝึกหัดจะบินๆ ให้ไอ้พวกเจ้านกขุนทองมันอยู่ในกรงนั่น แล้วมันยังจะหลับตาลืมตาตามประสาเจ้าขุนทอง เอวัง